ฟีลกู้ดให้สุดกับ อีเมลล์ลับฉบับไซมอน " Love, Simon "
รีวิวภาพยนตร์เรื่องที่ 010
เนื่องจากภาพยนตร์เรื่องที่หยิบมารีวิวโด่งดังตั้งแต่เป็นนวนิยายรูปเล่มแล้ว พอถูกนำมาทำเป็นหนังก็ได้รับกระแสตอบรับอย่างท่วมท้น แม้แต่ในทวิตเตอร์ก็พูดถึงหนังเรื่องนี้กันมาก จริงๆซินเด้ต้องขอบคุณคนกลุ่มแรกๆที่ไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วกลับมาพูดถึงจนมันมีกระแส เมเจอร์ก็เลยยอมนำมาฉายในโรงอื่นๆนอกเหนือจากสาขาในเมืองมากขึ้น และทำให้ตัวซินดี้เองหาโอกาสไปชมได้ง่ายขึ้น ดังนั้นวันนี้ซินดี้ก็ขอมารีวิวความประทับใจต่างๆที่ได้รับจากหนังเรื่องนี้สักหน่อย
Love, Simon เป็นภาพยนตร์แนวโรแมนติก-คอมเมดี้ ที่มีกลิ่นอายความเป็นหนัง Coming of age เต็มๆ เราก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบหนังทางนี้ ไม่ว่าจะเป็น The Perks of Being a Wallflower, Meangirls, Easy A ตั่งต่าง ซึ่งบางเรื่องก็จะนำเสนอประเด็นความยากลำบากในการเปลี่ยนผ่านของช่วงวัย ความโหดร้ายของสังคม ทว่าอีเมล์ลับฉบับไซมอนถูกนำเสนอในมุมมองแบบฟีลกู้ด ใครที่กลัวว่าเอ๋ จะดราม่ามากไปไหม จะทำร้ายจิตใจหรือเปล่า ขอบอกเลยว่าหนังมันฟีลกู้ดยิ่งกว่าที่ GTH (GDH) เคยทำเสียอีก น้องๆที่อายุน้อยกว่า 18 ก็ดูได้นะ ได้แง่คิดดีๆด้วย
บอกตรงๆเลยว่าทั้งเรื่องนั้นถูกถ่ายทอดออกมาในแง่ของการคิดบวก ตัวละครทุกอย่างมีความคิดบวก(เกือบทั้งหมด) สถานการณ์ทั้งหมดไม่ได้บีบคั้นจนเกินไป ก็เลยอาจส่งผลให้บางคนออกมาท้วงติงว่ามันจะโลกสวยเกินไปไหม?
ทางเราไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นนะ ซินดี้คิดว่าตัวหนังทำออกมาได้ฟีลกู้ดเฉกเช่นเดียวกับหนังรอมคอมเรื่องอื่นๆ ซึ่งแตกต่างแค่ตรงที่ว่าพระเอกของเรื่องมีความรักในแบบชายรักชาย และเราก็รู้สึกว่ามันดีนะที่ถ่ายทอดออกมาแบบเรียบง่าย ฟีลกู้ด ให้ความรักของผู้ชายกับผู้ชายมันเป็นลักษณะสามัญไม่ต่างกับความรักของหญิงชาย มันก็เป็นความรักที่เกิดขึ้นบนเหตุการณ์ธรรมดากับคนธรรมดา ไม่ว่าคุณจะเป็น Straight (หญิง-ชายรักกัน) หรือ LGBT ก็เป็นคนเหมือนกัน คนธรรมดานี่แหละ
นอกจากประเด็น LGBT แล้ว ประเด็นอื่นๆที่ถูกสอดแทรกมาเป็นระยะ ทั้งความสัมพันธ์ในครอบครัวเอย ความสัมพันธ์ของเพื่อนเอย สังคมโรงเรียนมัธยมที่ชอบมีคนไม่น่ารักที่มักไปกลั่นแกล้งคนอื่นอยู่เสมอ การก้าวผ่านช่วงเวลาที่อยากลำบาก หรือการยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น และนำประเด็นเหล่านี้มาถ่ายทอดในแบบ Positive Thinking เช่นกัน บอกเลยว่าประทับใจเวอร์ๆ
ส่วนนักแสดงของเรื่องนั้นก็ถ่ายทอดคาร์แร็คเตอร์ออกมาดีทุกคน ทั้งพระเอกไซมอน ที่รับบทโดย Nick Robinson ซึ่งเป็นที่จดจำจากบทหลานชายคนโตของนางเอกใน Jurassic World (2015) ที่แม้เรื่องนี้เขามารับบทนำแล้วแอบรู้สึกว่าเล่นจางไปหน่อย หรือ ลีอา เพื่อนสาวของไซมอน ที่รับบทโดย Katherine Langford ซึ่งโด่งดังเป็นพลุแตกจากซีรีส์ชื่อก้องของ Netflix อย่าง 13 Reasons Why ในบทของแฮนนาห์สาวที่ทำการทิ้งเทป 13 ตลับเป็นจดหมายบอกลา มาในเรื่องนี้เธอมีเสน่ห์มากๆ ล้างตาจากความน่าลำไยของแฮนนาห์ในซีซั่น 2 ไปจนหมด อิอิ
ก่อนจากกันวันนี้ซินเด้ก็ไม่มีอะไรมาฝากหรอก แค่อยากให้วันนี้เป็นวันที่สดใสของทุกคน อย่าลืมพกร่มออกจากบ้าน แล้วก็รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ
ด้วยรัก, ซินดี้
สวัสดีค่ะทุกคน พบกับซินดี้อีกครั้ง คราวนี้ซินเด้ขอเริ่มต้นสัปดาห์ด้วย Movie Review สักหน่อยเนอะ หลังจากไม่ได้เขียนรีวิวเกี่ยวกับหนังมาได้สักพัก (ที่ไม่ได้เขียนไม่ใช่ไม่ได้ไปดูหนังนะ แค่ขี้เกียจบวกขาดแรงบันดาลใจเฉยๆ อิอิ)
เนื่องจากภาพยนตร์เรื่องที่หยิบมารีวิวโด่งดังตั้งแต่เป็นนวนิยายรูปเล่มแล้ว พอถูกนำมาทำเป็นหนังก็ได้รับกระแสตอบรับอย่างท่วมท้น แม้แต่ในทวิตเตอร์ก็พูดถึงหนังเรื่องนี้กันมาก จริงๆซินเด้ต้องขอบคุณคนกลุ่มแรกๆที่ไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วกลับมาพูดถึงจนมันมีกระแส เมเจอร์ก็เลยยอมนำมาฉายในโรงอื่นๆนอกเหนือจากสาขาในเมืองมากขึ้น และทำให้ตัวซินดี้เองหาโอกาสไปชมได้ง่ายขึ้น ดังนั้นวันนี้ซินดี้ก็ขอมารีวิวความประทับใจต่างๆที่ได้รับจากหนังเรื่องนี้สักหน่อย
Love, Simon อีเมล์ลับฉบับไซมอน
Love, Simon เป็นภาพยนตร์แนวโรแมนติก-คอมเมดี้ ที่มีกลิ่นอายความเป็นหนัง Coming of age เต็มๆ เราก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบหนังทางนี้ ไม่ว่าจะเป็น The Perks of Being a Wallflower, Meangirls, Easy A ตั่งต่าง ซึ่งบางเรื่องก็จะนำเสนอประเด็นความยากลำบากในการเปลี่ยนผ่านของช่วงวัย ความโหดร้ายของสังคม ทว่าอีเมล์ลับฉบับไซมอนถูกนำเสนอในมุมมองแบบฟีลกู้ด ใครที่กลัวว่าเอ๋ จะดราม่ามากไปไหม จะทำร้ายจิตใจหรือเปล่า ขอบอกเลยว่าหนังมันฟีลกู้ดยิ่งกว่าที่ GTH (GDH) เคยทำเสียอีก น้องๆที่อายุน้อยกว่า 18 ก็ดูได้นะ ได้แง่คิดดีๆด้วย
ตัวหนังประเดิมเปิดเรื่องด้วยเรื่องราวของหนุ่มไฮสคูลที่มีชีวิตธรรมดาสามัญ นามว่าไซมอน อยู่กับครอบครัวที่อบอุ่น มีพ่อที่น่ารักและแม่ที่น่ารักเวอร์ๆ มีกลุ่มเพื่อนที่สนิทสนมกลมเกลียวกันดี และมีชีวิตวัยเรียนที่ก็เอ่อ.. เรียกว่าไงดี ก็ปกติสุขอะนะ แต่ก็มีบางสิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือตัวไซมอนค้นพบรสนิยมความชอบของตนเองแบบลับๆว่าตัวเขานั้นชอบผู้ชาย
และทุกอย่างมันเริ่มต้นที่ไซมอนได้อีเมล์ลับจากใครสักคนที่ใช้นามแฝงว่าบลู ที่มีเนื้อหาระบายความอัดอั้นตันใจเกี่ยวกับประเด็นที่เขาต้องปกปิดรสนิยมทางเพศเอาไว้ ไซมอนเองก็รู้สึกเช่นนั้นจึงได้ทำการสมัครอีเมล์ใหม่เพื่อมาตอบอีเมล์ของบลู และพูดคุยเปิดอกเกี่ยวกับความอัดอั้นของเขาเช่นกัน
และทุกอย่างมันเริ่มต้นที่ไซมอนได้อีเมล์ลับจากใครสักคนที่ใช้นามแฝงว่าบลู ที่มีเนื้อหาระบายความอัดอั้นตันใจเกี่ยวกับประเด็นที่เขาต้องปกปิดรสนิยมทางเพศเอาไว้ ไซมอนเองก็รู้สึกเช่นนั้นจึงได้ทำการสมัครอีเมล์ใหม่เพื่อมาตอบอีเมล์ของบลู และพูดคุยเปิดอกเกี่ยวกับความอัดอั้นของเขาเช่นกัน
ทางเราไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นนะ ซินดี้คิดว่าตัวหนังทำออกมาได้ฟีลกู้ดเฉกเช่นเดียวกับหนังรอมคอมเรื่องอื่นๆ ซึ่งแตกต่างแค่ตรงที่ว่าพระเอกของเรื่องมีความรักในแบบชายรักชาย และเราก็รู้สึกว่ามันดีนะที่ถ่ายทอดออกมาแบบเรียบง่าย ฟีลกู้ด ให้ความรักของผู้ชายกับผู้ชายมันเป็นลักษณะสามัญไม่ต่างกับความรักของหญิงชาย มันก็เป็นความรักที่เกิดขึ้นบนเหตุการณ์ธรรมดากับคนธรรมดา ไม่ว่าคุณจะเป็น Straight (หญิง-ชายรักกัน) หรือ LGBT ก็เป็นคนเหมือนกัน คนธรรมดานี่แหละ
ชอบประเด็นที่หนังได้ตั้งคำถามทิ้งไว้ว่าทำไมเมื่อเราชื่นชอบในเพศเดียวกันถึงกลายเป็นเรื่องแปลกหรืออาจสร้างปัญหาได้ ทั้งที่ความรักหรือความชื่นชอบเหล่านี้มันก็เป็นด้านดีๆนะ ไม่ว่าจะเกิดกับเพศไหนก็ตาม อย่างฉากที่พระเอกมโนขำๆถึงเพื่อนในกลุ่มที่ไปสารภาพกับพ่อแม่ว่าตนเองเป็น Straight แล้วมีพ่อหรือแม่มานั่งตกใจ ซินดี้ก็มาคิดนะว่าเออมันเป็นฉากสร้างอารมณ์ขันที่ไม่ได้ทำงานแค่ให้คนดูขำ แต่เขาอยากให้เราตั้งคำถามและกลับไปคิด
นอกจากประเด็น LGBT แล้ว ประเด็นอื่นๆที่ถูกสอดแทรกมาเป็นระยะ ทั้งความสัมพันธ์ในครอบครัวเอย ความสัมพันธ์ของเพื่อนเอย สังคมโรงเรียนมัธยมที่ชอบมีคนไม่น่ารักที่มักไปกลั่นแกล้งคนอื่นอยู่เสมอ การก้าวผ่านช่วงเวลาที่อยากลำบาก หรือการยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น และนำประเด็นเหล่านี้มาถ่ายทอดในแบบ Positive Thinking เช่นกัน บอกเลยว่าประทับใจเวอร์ๆ
เราไม่เคยรู้จักผกก.คนนี้มาก่อนจนเปิดเว็บ IMDb แหละถึงได้ไปบางอ้อ เขามีชื่อเสียงจากการเป็นโพรดิวเซอร์ทีวีซีรีส์มาก่อน และเพิ่งมาทราบก่อนเขียนว่าผกกมีชีวิตรักที่งดงามกับหนุ่มคนหนึ่ง จึงไม่แปลกใจเลยว่าเขายิงหนังเรื่องโป้งเดียวแต่ได้ใจคนดูเยอะมากขนาดนี้ได้ยังไง
ส่วนนักแสดงของเรื่องนั้นก็ถ่ายทอดคาร์แร็คเตอร์ออกมาดีทุกคน ทั้งพระเอกไซมอน ที่รับบทโดย Nick Robinson ซึ่งเป็นที่จดจำจากบทหลานชายคนโตของนางเอกใน Jurassic World (2015) ที่แม้เรื่องนี้เขามารับบทนำแล้วแอบรู้สึกว่าเล่นจางไปหน่อย หรือ ลีอา เพื่อนสาวของไซมอน ที่รับบทโดย Katherine Langford ซึ่งโด่งดังเป็นพลุแตกจากซีรีส์ชื่อก้องของ Netflix อย่าง 13 Reasons Why ในบทของแฮนนาห์สาวที่ทำการทิ้งเทป 13 ตลับเป็นจดหมายบอกลา มาในเรื่องนี้เธอมีเสน่ห์มากๆ ล้างตาจากความน่าลำไยของแฮนนาห์ในซีซั่น 2 ไปจนหมด อิอิ
ซินดี้จึงขอสรุปว่าภาพยนตร์เรื่องนี้คือสิ่งที่ดีงาม เปิดให้คุณพ่อคุณแม่ดูได้ ให้น้องๆมัธยมดูได้ เป็นการสร้างความเข้าใจประเด็นความหลากหลายทางเพศที่ดีนะ ตัวหนังสื่อสารพอยท์หลักออกมาได้สมบูรณ์ และมันจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีถ้าใครอยากจะได้สื่อตัวอย่างมาช่วยในการทลายกำแพงเดิมๆออกไปด้วยพลังการคิดบวก Love, Simon ตอบโจทย์จริงๆ
ตอนนี้ทางเมเจอร์เขาก็ได้นำมาฉายหลายโรงมากขึ้นนัก ก็อยากให้รีบไปดูกัน Jurassic กำลังจะมาด้วย กลัวจะหลุดรอบฉายไปก่อน ไม่อยากให้เพื่อนๆพลาดเรื่องนี้นะ
ตอนนี้ทางเมเจอร์เขาก็ได้นำมาฉายหลายโรงมากขึ้นนัก ก็อยากให้รีบไปดูกัน Jurassic กำลังจะมาด้วย กลัวจะหลุดรอบฉายไปก่อน ไม่อยากให้เพื่อนๆพลาดเรื่องนี้นะ
ด้วยรัก, ซินดี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น